เครื่องประดับอียิปต์: หน้าต่างสู่วัฒนธรรมโบราญ

เครื่องประดับอียิปต์: หน้าต่างสู่วัฒนธรรมโบราญ

 

เขียนโดย Morgan Moroney Johns Hopkins University. แปลโดย พิเชษ เรืองศรี

อียิปต์ยุคโบราณมักถูกกล่าวถึงว่าเป็นสังคมที่มีการแบ่งชั้นเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่มีให้สำหรับชาวอียิปต์ทุกคน นับจากลูกคนสุดท้องขึ้นไปจนถึงนักบวชที่อายุมากที่สุด จากชาวนาที่ยากจนที่สุดไปจนถึงยศศักดิ์ระดับฟาโรห์ นั่นคือเครื่องประดับจากก่อนยุคราชวงศ์จนมาถึงยุคราชวงศ์โรมันเครื่องประดับอัญมณีได้ถูกทำขึ้นเพื่อ สวมใส่ มอบให้กัน เป็นของขวัญโอกาสต่างๆ ชาวอียิปต์นิยมประดับเรือนร่างตนเองด้วยเครื่องประดับต่างๆ เช่น แหวน, ต่างหู, กำไล, ครีบอก, สร้อยคอ, มงกุฎสายคาด และเครื่องรางต่างๆ

 

Broad collar of Nefer Amulets, ca. 1504–1450 BCE

Photo: Metropolitan Museum of Art

 

เนื่องจากเครื่องประดับได้มีความแพร่หลายในระดับสากลเราจึงสามารถเรียนรู้ได้มากมาย จากการศึกษาลูกปัดแม้เพียงเม็ดเดียว แม้ว่าเครื่องประดับโบราณส่วนใหญ่ในคอลเล็กชั่นสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ถูกรวบรวมในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 มีบริบททางโบราณคดีที่บันทึกไว้เพียงเล็กน้อย หรือไม่มีเลย –ซึ่งหมายความว่าพวกเขาได้ขาดข้อมูลที่สำคัญสำหรับความเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยทีเดียว ชิ้นงานเหล่านี้มักถูกมองว่าโชว์ความงามมากกว่าเป็นการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ทำให้ถูกลดความสำคัญของการศึกษาเครื่องประดับลงไปอีก แทนที่จะถูกเมินเฉยนั้น เครื่องประดับนี่แหละที่สมควรถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นวัตถุทางวิชาการเพื่อให้เข้าใจอียิปต์โบราญได้ดีขึ้น

            รูปแบบการฝังศพ, การปฏิบัติพิธีกรรม, ความสามารถในการผลิตและทรัพยากรต่างๆตลอดจนวัสดุที่มีอยู่นั้นเป็นเพียงแนวทางเล็กๆน้อยๆในการสำรวจเครื่องประดับอัญมณี ในทางกลับกัน การศึกษาดังกล่าวสามารถใช้เป็นข้อมูลที่จำเป็นในหัวข้อต่างๆ รวมทั้งการทำมาค้าขาย, เพศ, ชนชั้น, เศรษฐกิจ, อำนาจทางการทหาร, และอำนาจทางการเมืองอีกด้วย

            สำหรับเครื่องประดับของชาวอียิปต์ ไม่ว่าจะเป็น สไตล์, การเลือกใช้วัสดุ, เทคนิคการประดิษฐ์ และแม้แต่ประเภทของวัตถุและความหมายของการตกแต่งก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาและเหตุการณ์ต่างๆ  อัญมณีเช่น ลาปิส และเทอร์ควอยซ์ ได้ถูกนำเข้ามาและหายาก ในช่วงที่สภาวะการเมืองที่ไม่มั่นคง ในขณะที่วัสดุที่บางชนิดหาได้ในท้องถิ่นก็ได้รับความนิยมเฉพาะในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เช่น อเมทิสต์สีม่วง สื่อถึงอัญมณีแห่งความโกรธแค้นในช่วงยุคอาณาจักรกลาง (ค.ศ. 2055-1650 ก่อนคริสตศักราช) ในขณะที่แก้วถูกนำมาใช้ทำเครื่องประดับของราชวงศ์และชนชั้นสูงในราชวงศ์ที่ 18 เช่น ทรวงอกของกษัตริย์ตุตันคามุนและการฝังหน้ากากกับมัมมี่ 

 

                                                                                                                                                         Cowrie shell girdle of Sithathoryunet

                                                                                                                                        c. 1887–1813 BCE Photo: Metropolitan Museum of Art

 

ชาวอียิปต์ส่วนใหญ่สวมเครื่องประดับบางประเภทในช่วงชีวิตของพวกเขา และชาวอียิปต์เกือบทุกคนถูกฝังศพไปพร้อมกับเครื่องประดับไปด้วย ซึ่งวัสดุที่เลือกใช้และคุณภาพของฝีมือการผลิตมักจะบ่งบอกถึงสถานะของผู้สวมใส่ หน้ากากทองคำที่วิจิตรบรรจงและ ครีบอกที่ถูกฝังไปพร้อมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ที่ 21 และ 22 แห่งทานิส (ค.ศ. 1069-45 ก่อนคริสตศักราช) และสายคาดเอวของเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรกลางที่มีรูปแบบซับซ้อนพร้อมกับกำไลจากหลุมศพที่ ลาฮัน และ ดาซูร์ มีคุณภาพที่ต่างกันมากเมื่อเทียบกับสายคาดที่ทำจากลูกปัดธรรมดา ณ หลุมฝังศพของชาวบ้านทั่วไป วัตถุบางอย่างที่มีรูปร่างเรียบง่าย เช่น สายคาดที่ทำจากลูกปัดคานิลเลี่ยน รูปทรงคล้ายถังเบียร์ที่ร้อยแบบเส้นเดี่ยวก็พบได้ทั่วไปในหลุมศพของชนชั้นสูง 

                                                                                                                                                               Limestone wall painting in two

registers depicting the activities of jewelry-makers and precious-metal workers Photo: British Museum

 

หากแม้เราไม่คำนึงคุณภาพ สิ่งของเหล่านี้จะแสดงความหมายของ การป้องกันและพลังซึ่งเครื่องประดับที่ขุดพบส่วนใหญ่มาจากสุสาน หรือจากป่าช้าของวัดบางแห่ง นอกเหนือจากตัววัตถุแล้ว เราสามารถเรียนรู้ได้อีกมากจากข้อความและรูปภาพที่อธิบายและรูปที่วาดลงในเครื่องประดับ

อันที่จริงแล้ว เครื่องประดับบางประเภทเป็นที่รู้จักจากการพรรณนาที่มีต่อรูปปั้นและภาพนูนต่ำนูนสูงเท่านั้น เครื่องประดับของชาวอียิปต์ที่ใช้ในการเวิร์คชอปได้ถูกขุดพบจาก 2-3 แห่ง แต่ที่เรารู้เกี่ยวกับช่างฝีมือโบราญและเทคนิคของพวกเขานั้นมาจากฉากในสุสาน

                  ในยุคอาณาจักรใหม่ ฝาหลุมฝังศพของ Sobekhotep และ Rekhmire คนงานบางคนได้ทำการฝึกซ้อม 3-4เท่าก่อนที่จะทำการเจาะลูกปัดในขณะที่คนอื่นๆจะทำหน้าที่ร้อยลูกปัดที่เจาะมาด้วยความยาก

 

 

เครื่องประดับมีเพื่อการตกแต่งและเพื่อจุดมุ่งหมาย ลูกปัดแม้เพียงหนึ่งเม็ดสามารถเล่าเรื่องให้เราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทราบบริบททางโบราญคดี วัสดุอย่างเช่น เซรามิก, โลหะ, หินบางชนิด อาจมีแหล่งที่มาและแหล่งกำเนิดจึงเข้าใจได้ แม้การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น LA-ICP-MS (laser ablation-inductively coupled plasma-mass spectrometry) และการเรืองแสงด้วยรังสีเอกซ์ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์และเปรียบเทียบองค์ประกอบได้ แม้แต่เหมืองพลอยที่มีที่มาที่ไปชัดเจนหรือตำแหน่งของดินจากลุ่มแม่น้ำไนล์ยังสามารถระบุตัวตนได้ในบางครั้ง การตรวจลูกปัดบาญต่างๆโดยกล้องจุลทรรศน์ ยังสามารถชี้ชัดเรื่ององค์ประกอบของชิ้นงานและการใช้งานอีกด้วย ตัวอย่างเช่น แก้วและวัตถุที่เคลือบมักจะสร้างฟองอากาศที่มองเห็นได้ หากการเจาะลูกปัดมีร่องรอยการสึกหรอ แสดงว่าอาจสวมใส่และการจัดวางบนเรือนร่างก่อนพิธีฝังศพ เครื่องประดับบางชิ้นทำขึ้นเพื่อใช้กับพิธีฝังศพโดยเฉพาะ และพบว่ามีกำไลและเครื่องประดับอื่นๆ วางบนมัมมี่โดยไม่ไม่มีการรัด หรือ ยึดพันไว้กับลำตัว

 

                                                                                                                     A diadem with two gazelle heads, c. 1479–1425 BCE. Photo: Metropolitan Museum of Art

 

เครื่องประดับมักสื่อถึงพลังอำนาจสำหรับผู้สวมใส่ – ทั้งผู้มีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว สีและวัสดุมีความสำคัญที่ปกป้องผู้มีชีวิตอยู่ให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ และภยันตราย ปกป้องผู้ล่วงลับไปชั่วนิรันดร์โดยการใช้ผ้าพันร่างของมัมมี่ มีหนังสืออนุสรณ์งานศพที่มีชื่อเสียงของยุคอาราจักรใหม่ได้กำหนดวัสดุเฉพาะสำหรับเครื่องรางบางประเภท  และมักจะมีรายละเอียดระบุว่าควรใส่ไว้ที่ใดในร่างกาย ในบทที่`156 เรียกว่า หินแจสเปอร์แดง เป็นผ้าคาดเอวของเทพีไอซิส ซึ่งติดไว้ที่คอของมัมมี่ และบทที่ 159 และ 160 กำหนดให้เป็นหินเฟลด์สปาร์สีเขียวสำหรับพระเครื่องปาปิรัส และบทที่ 30 กำหนดสิ่งที่ควรเชื่อว่าเป็นหินแจสเปอร์สีเขียวสำหรับแมลงปีกแข็งรูปหัวใจ เครื่องรางรูปหัวใจนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อตัดสินความยุติธรรมให้แก่ผู้ล่วงลับ พิธีกรรมการตัดสินโดยใช้เครื่องรางรูปหัวใจชั่งน้ำหนักกับขนนกแห่งความจริง 

กษัตริย์ ทรงโปรดที่จะมอบเกียรติยศทางการทหารผ่านเครื่องประดับดั่งตัวอย่างที่ถูกขุดพบพจากนูเบีย เปลือกหอยนางรมที่เจาะและขัดเงาและสลักด้วย Cartouche ของกษัตริย์ Senworset

 

Cuff Bracelets Decorated with Cats, c. 1479–1425 BCE Photo: Metropolitan Museum of Art


ทั่วทั้งอียิปต์โบราญ มีการถวายเครื่องประดับที่วัด, ฝังในสุสาน, ขโมยจากมัมมี่, มอบเป็นของขวัญรางวัล, สวมใส่ไปที่วัดและสุสาน, ตลอดจนตลาดการค้าเครื่องประดับขนาดเล็ก มีค่าแต่บ่อยครั้งที่ซับซ้อน จึงมีการนำเสนอวิธีศึกษาวัฒนธรรมอียิปต์อย่างใกล้ชิดและสำคัญ

                                                                                                                                                              String of beads, Middle Kingdom,

Dahshur. De Morgan excavations, 1894–95 Photo: Metropolitan Museum of Art